~\\ (^ ^ ) ...( ^ ^) //~

Israel Kamakawiwo'ole - Somewhere Over The Rainbow & What A Wonderful World

Somewhere Over The Rainbow/Wha - Israel Kamakawiwoole
เมื่อต้นอาทิตย์... เกิดความรู้สึก มึนงง อึดอัด หาทางออกไม่เจอ (จริงๆ คงจะเป็นมาหลายครั้งแต่มันไม่ค่อย 'รู้สึกตัว' เท่าไหร่) ...พอตอนหัวค่ำก็เลยเปรยๆ (บ่น) อาการงืดดดดดดดดด บ้าๆบอของเราให้น้องสาวฟัง

และก็ไอ้จังหวะที่เล่า นี้แหละ ที่มันเหมือนได้กลับมาสังเกต และใช้ใจพิจารณาใจตัวเองอีกครั้ง ความคิดมันก็แว่บขึ้นมาให้เห็นกันชัดๆว่า "เฮ้ย! (ใจ)ตูมันกำลังจมน้ำเองนี่หว่า"
...บุ๋ง บุ๋ง ๐๐๐๐๐๐ ๐๐ ๐ บุ๋ง

อาการอะไรพรรณนี้มันต้อง "รู้สึกตัว" เอา ตัวเรามันถึงจะสำเหนียกได้ในบัดดล... โอ้ว จอร์จจจจจจ! กลับขึ้นมานั่งตัวแห้งอยู่บนท่าน้ำได้ในอึดใจ . . . ไอ้หลายครั้งที่ผ่านมาก็เคยใช้สมองคิด ใช้เหตุ-ใช้ผลพาตัวเองขึ้นมาจากก้นสระเหมือนกันนะ แต่มันตะกายเหนื่อยมากเพราะไม่ได้รู้จริงว่าอะไรกันแน่ที่มัน'จม' ส่วนมากก็เลยมักจะขึ้นมาลอยอยู่กลางสระ หรือเกือบถึงผิวน้ำเท่านั้น ...ประมาณว่า เห็นแสงรำไร แต่ก็ยังดำผุดดำว่ายไปเรื่อยๆอ่ะ

จากที่เคยโพสท์เพลง "คืนอันเป็นนิรันดร์" ไว้ใน blogเดินทาง ก็เพราะรู้สึกว่าโดนกับประโยค "เหตุที่ใจแพ้ เพราะเราต่างหากที่แพ้ใจ" แต่มันก็ได้ 'เห็น' กันชัดๆก็คราวนี้เอง

ถ้ารู้จักการนั่งริมตลิ่งแล้ว ก็ต้องหมั่นฝึกพาตัวเองมานั่งบ่อยๆ ให้ได้ฝึกสำรวจกาย-ใจ สม่ำเสมอ จะได้เชี่ยวชาญ ไม่ตู้มมมม! ตกลงไปสำลักน้ำ หรือถึงลงไป ไม่นานนักก็ว่ายเข้าฝั่งได้

มันไม่ใช่แค่ rescue พาตัวเองให้รอดตายนะ จริงๆแล้วเราก็ต้องตระหนักชัดด้วยว่า ชีวิตเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมอง แต่ทุกอย่างมันตามแต่ 'ใจ' เราพาเดิน (หลายคนที่ปฏิเสธความจริงนี้ ก็อาจเพราะไม่คุ้นเคย, ไม่เคยเรียนรู้ หรือไม่มีโอกาสได้พาตัวเองไปรู้จักการดำเนินไปภายในจิตใจ)

เคยได้ยินหลายคนเอ่ยถึง หรืออ้างอิงถึง "กฎแห่งการดึงดูด" (Law of Attraction) จากหนังสือยอดฮิต "The Secret" (Rhonda Byrne เขียน, จิระนันท์ พิตรปรีชา แปล) มาหลายครั้ง ...ก็สนใจ อยากอ่านมาก
จนกระทั่งพอดิบพอดีกับที่น้องหม่อนมาโพสต์แนะนำหนังสือเล่มนี้ใน NREM07 blog ...ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สะกิดใจตะกายขึ้นจากน้ำ

เคยรู้สึกไหมว่า เวลาที่ใจเราเหนื่อย-อะไรๆมันก็ดูเหนื่อย, ใจเราป่วย-ทุกอย่างก็ป่วย, ใจเราห่อเหี่ยว-รอบๆตัวมันก็หดหู่, พอใจเรามีแรง-ก็พาตัวเองเคลื่อนไปข้างหน้าได้

สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาสู่ชีวิตเรา ล้วนถูกดึงดูด หมุน เคลื่อน ตามความเป็นไปภายในของตัวเราเอง ...ซึ่งหมายถึงทุกจังหวะนะ ทั้งที่เราสุข/ทุกข์ ดี/เลว หรือเฉยๆ สบายๆ

ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจเฟร้ยยยยยยยยยย

...ถ้าอย่างงั้น เอ็งก็วางใจให้อยู่ถูกที่สิฟระ ...ชะเงิงเอิงเอย. . . . . . . . . .



ป.ล. อยากอ่าน The Secret จัง


ทำไมใครๆมักเข้าใจว่าพอภาวนา หรือเจริญสติแล้ว
…จะต้องสงบ ควบคุมกายใจได้ดี ไม่หวั่นไหว (>”< )

ส่วนตัวแล้ว... เราชอบที่ได้ เฝ้า มอง แลดู ความเคลื่อนไหวของกาย-ใจแต่ละจังหวะ อย่างเพลิดเพลินมากกว่าที่จะต้องดูแลตัวเองให้นิ่งๆเข้าไว้

moment ที่เราสบาย สงบ ก็มีกันบ่อยๆได้ และดีด้วยอ่ะนะ


แต่ในขีวิต ที่เรียกว่าชีวิต มันโคตรจะหลากหลายหนิ
มันมีช่วงสนุก ฮา เศร้า เหงา เครียด เบื่อ บ้า หงุดหงิด ฟุ้ง หลุด วุ่นวาย เปราะบาง เหนื่อย อบอุ่น ดีใจ กังวล อ่อนแอ ชิวชิว มันส์ และอีกมากมายเป็นธรรมด๊า-ธรรมดา

ทำตัวเป็นคนนั่งอยู่ริมฝั่งน้ำน่ะ สนุกดี เดี๋ยวๆก็เห็นอะไรลอยผ่านไปมา ขึ้นๆ ลงๆ
จะเห็นอะไรเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

การปฏิบัติก็คือการฝึกวิทยายุทธให้เราช่างสังเกต เชี่ยวชาญ และมีอาวุธ (อุปกรณ์) ครบมือ นั่นแล

... วางใจ แล้วก็ออกเดินต่อไป ชิวชิว (^^ )/~

Peace

ปล. แรงบันดาลใจที่เขียนเรื่องนี้ มาจาก
บทความของพี่วิจักขณ์ และบันทึกของครูน้อย ขอบคุณทั้งสองท่านมากนะค้า (^/l\ ^, )


ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับ EE programs (เพราะกำลังเขียน literature review ของ proposal) . . . มีอยู่เล่มนึงที่แม้แค่ Intro. ก็รู้สึกว่า โดนนนนนน Q(>w< ) o
มันกระตุ้นให้อยากทำโครงการ EE ทุกอันที่พวกเราคุยกันในคลาสมากๆ
และมันก็ inspire ให้อยากส่งผ่านข้อความในใจ, ความรัก, ความหวัง, ความฝันของเราสู่คนอื่นๆ อย่างมากเลยเค้าเขียนว่า…

Think of a challenging conservation problem you have encountered—protecting a rare species, winning support for legislation, cleaning up a river, or sustainably managing a forest.

Inevitably, people are part of the problem, and public education and outreach will be part of the solution.

Effective education and outreach are essential for promoting conservation policy, creating knowledgeable citizens, changing people’s behaviors, garnering funds, and recruiting volunteers.

The fate of our ecosystems and the plants, animals, and people that depend on them lies with ability to educate children and adults, in setting as diverse as schools, communities, farms, and forests.

The Millennium Assessment Report (2005) revealed that 60% of the vital ecosystem services that support life on earth—such as fresh water, fisheries, air and water cycling, and the regulation of natural hazards and regional climate—are being degraded or unsustainably used.

Conservation education and outreach programs are a critical component in changing course toward a more sustainable future. …

The goal of this book is to present the many techniques available for creating effective education and outreach programs…

…We hope the book will help people speak and act more effectively …

จากหนังสือ Conservation Education and Outreach Techniques ของ Susan Jacobson

และในบทที่ 1 เค้าก็แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจคนเขียน proposal มั่กมั่ก
Ohhhhh! . . . \(=[] = )<---

... "Plan the work; work the plan"
... "Proper planning prevents poor performance."
... "Failing to plan is planning to fail."
(... ยิ่งทำให้เราต้องอยากจะอ่านหนังสือเค้าเข้าไปใหญ่ 555 )
.
แค่อ่านเฉยๆ ผ่านไปมันก็เป็นเพียงข้อความคำนำวิขาก๊าน-วิขาการดีดีจากหนังสือเล่มหนึ่ง

แต่ในจังหวะนั้น มันมองเห็นตัวเรา-คนที่กำลังอ่านข้อความนี้- ว่าเชื่อมโยงเข้าไปแล้ว มีภาพ ท้องฟ้า ป่า ภูเขา ฝน ดิน น้ำ ต้นไม้ ..ต่างๆที่มันมีความหมายกับชีวิตเราค่อยค่อยผุดขึ้นมา ...ใบหน้าอิ่มใจ-รอยยิ้มใสของคนหลายคนก็ฟูขึ้นมา ...เบิกบาน

ทำให้ข้อความเหล่านี้มีพลังกับการเดินทางของเรามาก
มีความสุขกับ EE ทุก project ที่พวกเราได้ถ่ายทอดกันออกมาจากใจค่ะ (^^, )~


เฝ้ามอง... ผู้คน พากันเดินทางไปซ่อนตัว ...
...อยู่ในบ้านแบบใหม่ที่ติดป้ายว่า 'อยู่แล้วรวย'!
.
เค้าคงคิดในใจดังๆกันว่า มันดี ปลอดภัย สบายใจ อนาคตสดใส ไฉไลกว่าเดิม
.
หรือจริงๆแล้วพวกเขาเอาตัวเองไปขังอยู่ในกรงใหญ่หนักอึ้ง...
.......ที่กำลังจมลงสู่ก้นทะเลลึก
.
...
.
ขอเป็นทางเลือกหนึ่ง ในกระแสเชี่ยวของวิทยาศาสตร์อันคับแคบ
.
แม้สวนทาง แต่ไม่ขอหลบกำบังตัวเองอยู่ในกะลามืดมิด
แกล้งทำตัวรู้สึกว่า อา~ อากาศช่างเย็นสบายจริงๆ
(อย่างกับนอนในห้องควบคุมอุณหภูมิเลยแน่ะ...เชิ้บ เชิ้บ)


เช้า... อากาศแจ่มใส : )
.
.
ฟื้นจากอาการปวดท้อง --> เจ็บคอ --> และ เป็นไข้
.
.
เดินผ่านสวน แสงแดดอ่อนๆทอลงมา... ชวนให้ภาวนาไปด้วยในแต่ละก้าวอย่างเป็นอัตโนมัติ ปัดความขุ่นมัวในจิตใจให้พ้นไป

เหลือบไปเห็นกระถางกล้วยไม้ดินต้นน้อยที่นำกลับมาจากมหา’ลัย ท่าทางอาการร่อแร่ ...และแล้วน้ำสีเขียวตะใคร่ ไร้คลอรีนในขวดน้ำใบเก่าๆ ก็ชุ่มอยู่ทั่วกอกล้วยไม้
.
.
หันไปมองรอบๆ ก็แว๊บขึ้นมาในใจ เหมือนว่าเช้านี้ต้นอื่นๆในสวนก็อยากได้น้ำให้สดชื่นเหมือนกัน (พอมาคิดดูทีหลัง: เฮ้ย! ...เราไม่ได้จับสายยางรดน้ำเองมาตั้งเกินครึ่งปีแล้วนี่หว่า ให้ตายสิ! นานจัง)
แล้วความคิดเราก็เข้ามารบกวนใจ ให้ลังเลว่าอย่าเลย ช่วงนี้ฝนตกบ่อย แต่หันมองรอบตัวอีกที ถ้าไม่รด...มันคาใจ(ว่ะ) ...อย่าร่ำไรอยู่ ล่อมันซะเลยเถอะ
.

.
สายน้ำผ่านนิ้วหัวแม่มือ ฉีดเป็นฝอย กระจายทั่วใบมะลิ
ละอองใส สูงขึ้นไป แตะยอดโมกที่เรียงรายเป็นแถว
ดอกขาวและลูกสีส้มของต้นเทียนขยับแกว่งน้อยๆ เมื่อน้ำพาดผ่านมาถึง
นึกถึงนกกินปลีที่เคยมาเล่นน้ำที่ต้นโมก ต้นเทียนยามเช้า (กว่านี้... (^ ^)a )
นึกถึงดอกเอื้องผึ้ง สีเหลืองสวย ช่อแรกที่เพิ่งโรยไป
น้ำหลายหยดบนใบเขียว ค่อยๆไหลมารวมกัน กลิ้งตามก้านลงไปจนแตะดิน







.

. ...จะรดน้ำมาก – น้อย ครั้งนี้ใช้ใจจับสายยาง ( ^ ^)//”, ,
รดน้ำแบบปิดหนังสือคู่มือต่างๆในหัว ไม่มีทฤษฏี ไม่คิดตัดสินอะไร
ไม่ได้คิดว่าเป็น ภาระ หรือ ความจำเป็นใดๆ

.
ไม่ได้แบ่งแยก ว่า เราเป็นคนรดน้ำ หรือต้นไม้ได้รับน้ำจากเรา
มันช่างเป็นชั่วขณะที่ ปราศจากการปิดกั้นตัวเราจากการดำเนินไปของโลกรอบข้าง ทุกอย่างดูสัมพันธ์ เชื่อมต่อกัน เหมือนเราได้รดน้ำให้กับตัวเองด้วย (เอ้ย ไม่ได้ราดน้ำเปียกใส่ตัวเองนะ > w < )

ชุ่มชื่น สบาย และเบิกบาน
.

หยดน้ำใสที่เกาะบนใบไม้อ่อน สะท้อนประกายแดดอุ่น
ทำให้เรายิ้มน้อยๆออกมาได้...
...ชีวิต...มันช่างดีจริงๆ

เริ่มต้นวัน ด้วยความรู้สึกเต็มตื้น และสุขใจ
.
.
.
๓ ชั่วโมงผ่านไป . . . ไข้กลับครับ
ก็หลังเล่นน้ำ แกเล่นไปเดินถนนนี่หว่า วรรณรวี
(วันนั้นแดดแรงครับท่านผู้ชม ฮ่า ฮ่า สมน้ำหน้าเลยตรู) ( ^ ^'!l)


พระจักรพรรดิพระองค์หนึ่งทรงต้องการทราบคำตอบของคำถามสำคัญ ๓ ประการ ซึ่งนั่นจะทำให้พระองค์ทรงทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย
คำถามนั้นคือ
๑. เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง
๒. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย
๓. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา

ว่าแล้วก็ทรงป่าวประกาศรางวัลอย่างงาม แก่ผู้ที่ตอบคำถามให้พระองค์ได้

ผู้คนมากมายต่างเสนอคำตอบหลากหลายแบบเข้ามา
...ในข้อ ๑ บ้างก็แนะให้องค์จักรพรรดิวางตารางเวลาอย่างละเอียดแล้วทำตาก บ้างก็แย้งว่าพระองค์ควรละเลิกความสนุกสนานไร้สาระทั้งหมด แล้วเอาใจใส่กิจกรรมต่างๆด้วยพระองค์เอง จะทำให้ทรงทราบว่าเวลาไหนที่เหมาะสมกับอะไร บางคนก็เสนอให้ตั้ง"สภาแห่งคนฉลาด"มาให้คำปรึกษา หรือหาผู้วิเศษมาทำนายเวลาล่วงหน้าจะดีกว่า
...คำตอบถึงคนสำคัญในข้อ ๒ ว่าคือใคร มีทั้ง ขุนนาง-ข้าราชการ, พระ-นักบวช, นักวิทยาศาสตร์, รวมทั้งนักรบ ...ส่วนข้อที่ ๓ สิ่งสำคัญทีตั้งแต่วิทยาศาสตร์, ศาสนา จนถึงสงคราม

แต่ไม่มีคำตอบไหนทำให้พอพระทัยได้เลย จนพระองค์ตัดสินพระทัยปลอมเป็นชาวนา เดินทางขึ้นเนินเขาไปแต่ผู้เดียว เพื่อถามจากพระฤๅษีผู้รู้แจ้ง
ท่านฤๅษีชราแม้กำลังขุดดินอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็รับฟังคำถามสามข้อของชายแปลกหน้าด้วยความเอาใจใส่ แต่ก็มิได้ตอบอะไร เพียงแต่เอามือตบไหล่พระจักรพรรดิเบาๆ แล้วก็ขุดดินต่อไป ...ราชาผู้ยิ่งใหญ่ทรงเห็นว่าการขุดดินนั้น ใช้แรงของท่านผู้เฒ่าหนักเอาการ จึงอาสาช่วยเหลือ และถามคำถามทั้งสามเป็นบางครั้ง จนพลบค่ำก็ยังมิได้คำตอบ

คราวนั้นก่อนเสด็จกลับ ขณะที่พระองค์เอ่ยถามอีกครั้ง ทันใดก็มีชายแก่บาดเจ็บวิ่งเตลิดมาหมดสติลง จักรพรรดิเห็นดังนั้นก็ทำความสะอาดแผลฉกรรจ์ เพียรห้ามเลือดด้วยเสื้อของพระองค์เอง และคอยช่วยเหลือท่านฤๅษีดูแลคนเจ็บจนพระองค์หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนในกระท่อมนั้น

รุ่งเช้า เมื่อชายบาดเจ็บฟื้นขึ้น ก็ร้องขอพระราชทานอภัยโทษจากพระจักรพรรดิ และเปิดเผยว่า จริงๆแล้วตนนั้นมารอดักลอบปลงพระชนเพื่อแก้แค้นให้พี่ชาย แต่บาดเจ็บจากการเข้าจับกุมของทหารองครักษ์ที่เชิงเขาแล้วหนีมา จนกระทั่งองค์จักรพรรดิได้ช่วยชีวิตไว้ จึงเกิดความละอายใจและสำนึกในพระคุณ ขอพระราชทานอภัยโทษและอุทิศตนรับใช้ตลอดไป ครั้นได้ยินเช่นนั้น พระจักรพรรดิก็ดีพระทัยยิ่งที่ศัตรูได้กลับกลายเป็นมิตร ประทานอภัยและจัดส่งชายผู้นั้นไปรักษาอย่างดี

จากนั้นพระจักรพรรดฺก็เสด็จกลับมาหาท่านฤๅษี เพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้าย
..."คำถามของท่านก็ได้รับคำตอบหมดแล้วนี่" ท่านฤๅษีเอ่ย ทำให้พระองค์งุนงงยิ่งนัก

"เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉัน และลงมือช่วยฉันขุดดิน ท่านก็คงถูกทำร้ายในตอนขากลับ และคงต้องโทมนัสใจที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน
ดังนั้นเวลาที่สำคัญที่สุดตอนนั้นก็คือ เวลาที่ท่านขุดดิน บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การช่วยฉันขุดดิน ...จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บคนนั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา มิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา และเช่นเดียวกัน บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือ ชายผู้นั้น และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การรักษาพยาบาลเขา...
"

"...จงจำไว้ว่ามีเวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ 'ปัจจุบัน' ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่กำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่

และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต"

อ้างอิง และย่อความจากหนังสือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ The Miracle of Being Awake เขียนโดย หลวงปู่ติช นัท ฮันห์, พระประชา ปสนฺนธมฺโม แปล, พิมพ์โดย สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
เป็นเรื่องหนึ่งที่ดามเอามาคุยกันในเผ่าอีหลี แล้วโดนใจดี ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ (และศานติในเรือนใจ) ให้เพื่อนๆ ที่ติดตามบล็อกนี้เช่นกัน

ได้ฟัง ได้คิดหลายๆเรื่อง คุยๆแล้วมันก็นึกปิ๊งขึ้นมาได้ว่า
ไอ้การเดินทางเนี่ย หลายครั้งมันจะเจออะไรบ้าง เราก็ไม่รู้ล่วงหน้าได้ไม่ใช่หรอ คนบางส่วนอาจจะเจอเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่า 'เหนื่อยจะตาย', 'นี่มันอะไรกันเนี่ย' หรือ 'วันนี้ซวยชะมัด' 'ไม่อยากเจอไอ้คนนี้ /เรื่องอย่างนี้เลย(ว่ะ)' ทำไมไอ้เราจะต้องไปเสี่ยง อยู่เฉยดีกว่า

จากความรู้สึกพวกนี้ เราก็เคยคิดดดดดดดดด... อ่ะนะ
แต่จนตอนนี้มันก็ดูกลายเป็นโจทย์ ที่ท้าทายดี เลยอยากเอาที่คิดได้จาก meeting วันนี้มาเขียนไว้

ที่กลุ่มเดิน เดิน ไปวันนี้ ก็สวยงาม น่าสนใจ และเต็มไปด้วยกำลังใจกันเช่นเคย
สำหรับเรา การที่ได้แลกเปลี่ยน แบ่งปัน มุมมองต่างๆ ก็ทำให้เข้าใจอะไรต่างๆกว้างและลึกขึ้น เรื่องการอยู่กับปัจจุบันขณะก็ดูมีรายละเอียดเพิ่มที่น่าสนุก
ได้เจอเรื่องอย่างนี้ มันเป็นกำไรที่ได้จากการเดินทาง เป็นเหตุผลที่ดีว่า ทำไมคนเราถึงน่าจะได้ออกไปเจอคนอื่นๆ สัมผัสสิ่งรอบข้าง หรือพบเหตุการณ์ใหม่ๆ (ทั้งบวกและลบ)บ้าง ถึงแม้ว่าสิ่งที่เจอวันนั้นมันไม่สวยงาม หรืออาจลดทอนกำลังใจของเราในบางครั้ง มันก็ยังเป็นแบบฝึกหัดที่ดีกับชีวิตเรา ให้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ใครเจออะไรหนักๆมา...ไม่ไหวก็พัก ทบทวน แล้วเดินทางภายในใจตัวเองก่อนได้ หรืออีกมุมหนึ่ง พอผ่าน chaos มาแล้ว ก็ level up มี life เพิ่มขึ้น ( ^ ^ ) จะให้สบายๆ ก็ มีสติ ให้พร้อมเจอกับสิ่งที่จะเข้ามาเจอเรา จะดู work กว่า
อย่างที่ดามบอกว่า "ถ้าเราชนะมันมาได้ ก็กำไร ไม่ได้ก็เท่าทุน" นั่นแหละ
แต่อย่าลืมว่า การมีสติ นั้น คือการเฝ้ามองอารมณ์ ความคิด การกระทำ และจิตใจเราเอง (ที่ลอยตามกระแสน้ำมา) ด้วย
ดังนั้น ที่ว่า "บุคคลที่สำคัญที่สุด คือคนที่เรากำลัง connect อยู่"
'บุคคลสำคัญ' นั้น ก็น่าจะรวมถึงตัวเราด้วย
ในปัจจุบันขณะ เรามีภารกิจก็ต้องทำให้ตัวเรามีความสุขด้วยเช่นกัน

ถ้าในขณะหนึ่ง เราฟุ้งไปคิด กังวล เป็นทุกข์ กับคน หรือ เรื่องอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าเราตอนนั้น
ก็ระวังว่า เราก็อาจถีบตัวเอง ตูมมมมมม ตกลงไปจมน้ำอยู่ซักพักทีเดียว กว่าจะตะกายขึ้นมานั่งบนฝั่งได้ใหม่

ไม่ว่าจะเดินทางอยู่จุดไหน กับใคร ก็อย่าลืมรับรู้ตัวตนเราในแต่ละขณะด้วย
May the peace & conciousness be with you.

ป.ล. กำลังสนุก ตื่นเต้นกับการใช้ชีวิต ฮ่าฮ่า..



โปรแกรม"เดินทางพักผ่อน" คราวนี้ขอเสนอ
ระบายสีวันหยุด หยุด หยุด หยุด หยุดดดดดดดดดดด...

ในช่วงเวลาที่เราทำตัวเหมือนไปเที่ยวเล่น ที่โน่นที่นี่บ่อย: ไปออกค่าย, ไปต่างจังหวัด, ไปทุ่งนาป่าเขา, ไปฟัง ไปดู ไปทำ, ฯลฯ ไม่รู้จักอยู่เฉยๆ"ว่างๆ"ซักทีก็เคยโดนเพื่อนถามว่า

  • เพื่อน: แกไปโน่น มานี่ เข้าป่า ไปตจว.บ่อยๆเนี่ย ไม่คิดจะพักบ้างเลยหรอ?
  • วรรณรวี: เนี่ย ก็กำลังไปพักผ่อน(และเดินทางไกล)อยู่เลยล่ะ [ยิ้ม หน้าตาแช่มชื่น]
  • เพื่อน: [ทำหน้างง คิดในใจว่า อะไรของมันฟระ ไอ้ปราย]
(Physically) ไม่ว่าจะอยู่บ้าน ทำงาน พักผ่อน หรือไปไหนมาไหน... สำหรับเรา นั่นก็คือการเดินทาง (Mentally & Spiritually) เสมอนั่นแหละ แล้วจะไปในทิศไหน ได้ไกลเท่าไหร่ มันก็แล้วแต่สภาวะร่างกาย-จิตใจ และภายนอก
.
แม้หลายครั้งคนรอบข้างมองดูไอ้สิ่งที่เราทำ ที่ที่เราไป แล้วอาจสงสัยหรือวิจารณ์ ว่า 'มันแลดูจะเหนื่อยหรือลำบาก จะทำให้ตัวเองมีภาระไปทำไม' ...นั่นก็แค่เรื่องของร่างกาย แต่การเรื่องของใจแล้ว มันโคตรจะคุ้มเลยล่ะ! ได้พาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ทำอะไรที่เตือนให้รู้เนื้อรู้ตัว รับรู้ dynamic รอบ เป็นการเดินทางให้เราไปรู้จัก 'สภาวะสบายๆ' ... แค่นี้มันก็เป็นบทเรียนที่สุดยอดเกินคำบรรยายแล้ว เหมือนไปหัดปั่นจักรยาน/ว่ายน้ำ ไม่รู้จะอธิบายกับคนอืนยังไงนอกจากชวนมาลองทำดู
.
ทริปนี้ พวกเราไปสร้างศิลปะเพื่อโลกสวย จากผ้าเก่าและสิ่งของไม่ใช้แล้ว วาดรูปสดๆ เอาปิ๊ง-แว๊บ กันแบบไม่วางแผนล่วงหน้า เสร็จแล้วจะเอาไปบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือให้คนใจดี(องค์กรการกุศลต่างๆ) . . . [เอ่อ... รูปจะออกมายังไงนั่นอีกเรื่องนึง (-_-') . . . ศิลปะค่ะ ศิลปะ]
.

ในระหว่างทาง ก็ได้เรียนรู้หลายอย่าง ได้เครื่องมือหาทางออกเวลาเรากำลังเดินหลง หรือวนไปวนมา
.
เย็นวันเสาร์ก็ได้ไดอะลอกกันลึกๆ พร้อมกับครูน้อย และดาม + ตำปูปลาร้าอีกหนึ่งจาน และแล้ว True Tribe เรา ก็ได้ชื่อแบบไทยอีสาน "เผ่าอีหลี" ในบัดนั้น \(^ ^)/
.
ไดอะลอกเราคั่นจังหวะด้วยการวิปัสสนา ที่เหมือนเรากำลังนั่งอยู่ริมฝั่งน้ำ คอยดูอารมณ์ และความคิดไหลเข้ามาตามกระแสน้ำ และปล่อยให้มันลอยผ่านไป โดยที่เราไม่ได้ลงไปแหวกว่าย เปียกปอนในน้ำ หรือถ้าพอรู้ตัวอีกที ก็ลงไปเปียกซะแล้ว ก็ให้กลับขึ้นมานั่งบนสังเกตบนฝั่งต่อ (แต่ก็อ่ะนะ ไอ้เราก็เคยกระโดดตูม ลงไปดำผุดดำว่าย หรือเตะน้ำกระจุยกระจายมาแล้วก็หลายที...)
.
คุยกันเรื่องเกี่ยวกับเวลา, ได้ปลุกให้ตัวเองตื่นๆขึ้นมาจากที่จมๆอยู่ในกระแสวิถีชีวิตในเมือง ความวุ่นวายใจหรือกับงานต่างๆ มาอยู่กับปัจจุบันขณะ (here & now) . . . สงบและสบาย (^ ^) เป็นเรื่องที่โดนใจมาก คนทุกคนมีปัจจุบันอยู่กับตัวแหละ แต่มักจะไม่รู้ว่ามีอยู่ . . . อาจารย์น้อยเลยแนะนำให้ดูเวบของปีเตอร์ รัสเซลล์ (ผู้เขียน Waking Up in Time) และเปิด MINDFUL REMINDERS ไว้เตือนสติเราขณะทำงาน (***ปล. LINK นี้ ต้องลองเปิดใช้รอบสอง จึงจะมีเสียงเด้อค่ะ) คุยกันต่อเนื่องจนคิดโครงการอยากจะเผยแพร่ MINDFUL REMINDERS ภาษาไทย ในบริษัท-องค์กรต่างๆกันเลยนะ
.
ที่พิเศษ ก็ได้ภาวนาโภวา เติมเต็มความรู้สึกในไดอะลอกครั้งนี้ด้วย
.









Weekend Painting ... ปิ๊ง-แว๊บ


Weekend Cooking (contemplative ด้วย)




"เผ่าอีหลี"
.

.

.
ปล. คราวนี้เราได้ปลูกต้นไม้กันที่บะ (ฟาร์ม) แล้วคร้าบบบบบ...
เอ่อ... มีแต่ผักเครื่องเคียงอาหารรสแซ้บทั้งนั้นเลย แหะ แหะ (^ _^'A)



ชาวชนเผ่าที่ร้านทรูวันนี้ แม้จะวงเล็ก(สามคน) แต่ก็รู้สึกเต็ม และได้เข้าไปค้นหาตัวเองดี

ตลอดเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำตามความรู้สึกภายในตัวเองป็นที่ตั้ง มาก่อนการงานที่บีบคั้นอื่นๆ แล้วก็เพิ่งอ่านโมโม่จนจบ... อ่านหนังสือดีๆ ด้วยความหวังลึกๆที่จะรู้จักเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับเวลาของตัวเราเองบ้าง ...คนที่บ้านคงแปลกใจว่า ทำไมยัยคนนี้ยังมานั่งอ่านวรรณกรรมเด็กๆอยู่ได้นะ ทั้งๆที่ยังมีงานคั่งค้าง ไม่รู้จักรีบๆทำให้เสร็จๆไป จะได้สบายใจ (จะได้ประหยัดเวลาด้วยป่าว?!?)

บ่อยครั้งที่ค่อยๆทำงาน-การบ้านส่งใช้เวลาเยอะกว่าชาวบ้านเค้า (บางคนอาจจะรู้สึกว่าเราทำงานเก็บโน่นเก็บนี่ เว่อร์ไปด้วยมั้ง) งานเสร็จช้า .....

....ด้วยความสัจจริง บางครั้งที่ผ่านมาเราก็โอ้เอ้หรือผลัดวันประกันพรุ่งกับบางอย่าง แต่ในขณะที่พอได้เริ่มลงมือทำงานอะไรไปแล้วมันก็เต็มที่ มันรู้สึกมีความสุขกับการดูแลรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ (...จนเหมือนเรื่องมากบ้าง) รู้สึกเหมือน 'เป็ปโป คนกวาดถนน'

คุยกันวันนี้ ก็ได้รู้ตัวว่าปัญหาเกือบทุกอย่างมันก็เกิดจากภายในใจเรานี่แหละ แล้วมันหนักหนากว่าปัญหาที่เกิดจากภายนอกนัก ทำงาน...จะเริ่มไม่เริ่มมันก็อยู่ที่วินัยในตัวเรา และความรับผิดชอบต่อตัวเอง ถ้ารู้ตัวว่าใช้ต้องเวลามาก ก็ต้องแบ่งเวลาในเราทำงานมากขึ้น จะได้ทำไปชิวชิว สุขใจ แบบไม่ต้องกังวลจะไม่ทัน

จากเมลล์เรื่องสละของรัก เป็นเรื่องที่โดนใจมักมัก ทั้งช่วยและเตือนใจเราในหลายๆเรื่อง (คงโดนใจอีกหลายๆคน จนอ.เอเชียเอาไปลงนสพ.กันอีกรอบ)
ในไดอะลอกวันนี้ ...ดีจัง ที่ฉุกคิดได้ว่า ถ้าเราได้ สละของรัก-ละวางของหวงในเรื่องแบบที่เป็นนามธรรม-กิจกรรม-ความรู้สึกดูบ้าง (เช่น ความสบายกาย, อร่อย, ความพึงพอใจ, เกียรติยศ, ชื่อเสียงหน้าตา, อำนาจ, หรือแม้แต่กิจกรรมชอปปิ้ง, อ่านการ์ตูน, ดูละคร-ซีรีส์เกาหลี, ฯลฯ) ชีวิตคงสบายขึ้น และง่ายขึ้นน่าดู ปัญหาเรื่องเวลาที่ใช้ไปเพื่อของรักเหล่านี้ก็จะดีขึ้นด้วย (มั้ง)

เก็บเกี่ยวเรื่องโดนๆ มาบันทึกไว้เตือนใจ
ขอบคุณพี่เบญจุ๊ และดามเด็กดีที่ร่วมกันขับเคลื่อนกลุ่มในวันนี้ค่ะ
.
.
.
.
"เวลาคือชีวิต และชีวิตสถิตอยู่ในหัวใจ"


ไม่ได้อัพblogมานานแล้ว เหตุผลก็คงได้อ่านในบล๊อก ipry บ้างแล้ว (เนอะ)

แต่ตอนนี้คง ชิวชิวที่จะตกผลึกเขียนมากขึ้น ถ้าหายไปนานไม่ได้อัพก็ขออภัยล่วงหน้า เพราะเป็นคนที่คิดมากในการเขียนหนังสือ

ถ้าครึ้มอกครื้มใจ สดๆจริงๆ ก็จะพิมพ์คล่องหน่อย หลังไปเจริญสติมาแล้วก็ปล่อยวางหลายเรื่องที่ยึดติดได้แล้ว รวมทั้งก็เพลาๆ ความกังวล(ลักษณ์ 6 ที่เป็นตอนเครียด) กับอาการติดความเพอร์เฟค (ที่เราเอียงไปทางลักษณ์ 1) ได้เยอะ (ช่วงเครียดๆ กอดข้อเสียของสองลักษณ์นี้ไว้แน่น แล้วยิ่งคิดมาก คิดโน่นคิดนี่ วุ่นวายใจมากจิงจิง)

แต่สองอาทิตย์มานี้มันเลยปล่อยวางอะไรบ้าๆบอที่มันยึดใจเรา เรื่องการเขียนอัพบล๊อกได้
อยากเขียนเรื่องในใจให้มันสด มากขึ้น
แต่ถึงจะไม่อัพ แต่ชาวเราก็เข้ามาไดอะลอกในคอมเมนท์ได้เสมอนะคะ (บางเรื่องที่เพื่อนบางคนไม่พร้อมจะแชร์กับบล๊อกคลาสน้องๆ :- )

เพิ่งกลับมาจาก meeting ที่ร้านทรูมา ว่าจะทำงานให้แล้วก่อน แต่มันยังค้างอยู่สดดี ก็เลยโอ้เอ้อัพบล๊อกก่อน บ่เปนหยังดอก อิอิ

ยังไงก็ขอบคุณกัลยาณมิตรที่แวะมาเยี่ยม และช่วยปั่นคอมเมนท์สดๆ ไดอะลอกกันนะคร้าบ

ระหว่างทางก็เก็บภาพฝรั่ง+จีน+เกาหลีตื่นเต้น รุมถ่ายรูปตั๊กแตน & รถด่วนทอดกรอบมาฝาก

รู้สึกว่ามันมีหลายประเด็นดี แต่ชอบเรื่องความต่างของแม่วัฒนธรรม คนเรามองคุณค่าของสิ่งมีชีวิตและผลิตผลของธรรมชาติแตกต่างกัน



เจ้านกน้อยล่องลอยโผบิน จากแผ่นดินทะเลสีคราม

ความเหงาเอยมาคอยเหยียบย่ำ ให้ทรมาณ
ฝ่าลมแรงด้วยแรงท้าทาย สู่จุดหมายที่ไกลลิบตา
เพียงพบเธอทุกวันเห็นหน้า ทั้งตื่นและฝัน
ดอกไม้แย้มกลีบ บานแล้วในใจฉัน
จงหอมชั่วนิรันดร์ มิโรงร่วงผ่านจากใจเราผอง
จงมอบความรักด้วยใจภักดี มอบชีวีให้เธอคุ้มครอง
ความหวังดีจงมาปกป้อง ทั้งตื่นและฝัน

ได้เข้าใจแจ่มแจ้งความหมาย และความหวังดีที่เพลงนี้อวยพรแด่เพื่อนผู้จากไปด้วยใจสงบ
จดจำได้ในสิ่งดีๆที่ได้รู้จัก-ผูกพันกับอ้น
ทุกครั้งที่นึกถึงก็มีแต่ดอกไม้บานขึ้นมาให้ยิ้มได้เสมอ และจะสวยงามในใจตลอดไป
เป็นกำลังใจให้เราเข้มแข็งก้าวเดินต่อไป
รัก ขอบคุณ และ ระลึกถึงเพื่อน