~\\ (^ ^ ) ...( ^ ^) //~

Israel Kamakawiwo'ole - Somewhere Over The Rainbow & What A Wonderful World

Somewhere Over The Rainbow/Wha - Israel Kamakawiwoole

พระจักรพรรดิพระองค์หนึ่งทรงต้องการทราบคำตอบของคำถามสำคัญ ๓ ประการ ซึ่งนั่นจะทำให้พระองค์ทรงทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย
คำถามนั้นคือ
๑. เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง
๒. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย
๓. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา

ว่าแล้วก็ทรงป่าวประกาศรางวัลอย่างงาม แก่ผู้ที่ตอบคำถามให้พระองค์ได้

ผู้คนมากมายต่างเสนอคำตอบหลากหลายแบบเข้ามา
...ในข้อ ๑ บ้างก็แนะให้องค์จักรพรรดิวางตารางเวลาอย่างละเอียดแล้วทำตาก บ้างก็แย้งว่าพระองค์ควรละเลิกความสนุกสนานไร้สาระทั้งหมด แล้วเอาใจใส่กิจกรรมต่างๆด้วยพระองค์เอง จะทำให้ทรงทราบว่าเวลาไหนที่เหมาะสมกับอะไร บางคนก็เสนอให้ตั้ง"สภาแห่งคนฉลาด"มาให้คำปรึกษา หรือหาผู้วิเศษมาทำนายเวลาล่วงหน้าจะดีกว่า
...คำตอบถึงคนสำคัญในข้อ ๒ ว่าคือใคร มีทั้ง ขุนนาง-ข้าราชการ, พระ-นักบวช, นักวิทยาศาสตร์, รวมทั้งนักรบ ...ส่วนข้อที่ ๓ สิ่งสำคัญทีตั้งแต่วิทยาศาสตร์, ศาสนา จนถึงสงคราม

แต่ไม่มีคำตอบไหนทำให้พอพระทัยได้เลย จนพระองค์ตัดสินพระทัยปลอมเป็นชาวนา เดินทางขึ้นเนินเขาไปแต่ผู้เดียว เพื่อถามจากพระฤๅษีผู้รู้แจ้ง
ท่านฤๅษีชราแม้กำลังขุดดินอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็รับฟังคำถามสามข้อของชายแปลกหน้าด้วยความเอาใจใส่ แต่ก็มิได้ตอบอะไร เพียงแต่เอามือตบไหล่พระจักรพรรดิเบาๆ แล้วก็ขุดดินต่อไป ...ราชาผู้ยิ่งใหญ่ทรงเห็นว่าการขุดดินนั้น ใช้แรงของท่านผู้เฒ่าหนักเอาการ จึงอาสาช่วยเหลือ และถามคำถามทั้งสามเป็นบางครั้ง จนพลบค่ำก็ยังมิได้คำตอบ

คราวนั้นก่อนเสด็จกลับ ขณะที่พระองค์เอ่ยถามอีกครั้ง ทันใดก็มีชายแก่บาดเจ็บวิ่งเตลิดมาหมดสติลง จักรพรรดิเห็นดังนั้นก็ทำความสะอาดแผลฉกรรจ์ เพียรห้ามเลือดด้วยเสื้อของพระองค์เอง และคอยช่วยเหลือท่านฤๅษีดูแลคนเจ็บจนพระองค์หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนในกระท่อมนั้น

รุ่งเช้า เมื่อชายบาดเจ็บฟื้นขึ้น ก็ร้องขอพระราชทานอภัยโทษจากพระจักรพรรดิ และเปิดเผยว่า จริงๆแล้วตนนั้นมารอดักลอบปลงพระชนเพื่อแก้แค้นให้พี่ชาย แต่บาดเจ็บจากการเข้าจับกุมของทหารองครักษ์ที่เชิงเขาแล้วหนีมา จนกระทั่งองค์จักรพรรดิได้ช่วยชีวิตไว้ จึงเกิดความละอายใจและสำนึกในพระคุณ ขอพระราชทานอภัยโทษและอุทิศตนรับใช้ตลอดไป ครั้นได้ยินเช่นนั้น พระจักรพรรดิก็ดีพระทัยยิ่งที่ศัตรูได้กลับกลายเป็นมิตร ประทานอภัยและจัดส่งชายผู้นั้นไปรักษาอย่างดี

จากนั้นพระจักรพรรดฺก็เสด็จกลับมาหาท่านฤๅษี เพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้าย
..."คำถามของท่านก็ได้รับคำตอบหมดแล้วนี่" ท่านฤๅษีเอ่ย ทำให้พระองค์งุนงงยิ่งนัก

"เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉัน และลงมือช่วยฉันขุดดิน ท่านก็คงถูกทำร้ายในตอนขากลับ และคงต้องโทมนัสใจที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน
ดังนั้นเวลาที่สำคัญที่สุดตอนนั้นก็คือ เวลาที่ท่านขุดดิน บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การช่วยฉันขุดดิน ...จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บคนนั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา มิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา และเช่นเดียวกัน บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือ ชายผู้นั้น และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การรักษาพยาบาลเขา...
"

"...จงจำไว้ว่ามีเวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ 'ปัจจุบัน' ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่กำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่

และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต"

อ้างอิง และย่อความจากหนังสือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ The Miracle of Being Awake เขียนโดย หลวงปู่ติช นัท ฮันห์, พระประชา ปสนฺนธมฺโม แปล, พิมพ์โดย สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
เป็นเรื่องหนึ่งที่ดามเอามาคุยกันในเผ่าอีหลี แล้วโดนใจดี ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ (และศานติในเรือนใจ) ให้เพื่อนๆ ที่ติดตามบล็อกนี้เช่นกัน

ได้ฟัง ได้คิดหลายๆเรื่อง คุยๆแล้วมันก็นึกปิ๊งขึ้นมาได้ว่า
ไอ้การเดินทางเนี่ย หลายครั้งมันจะเจออะไรบ้าง เราก็ไม่รู้ล่วงหน้าได้ไม่ใช่หรอ คนบางส่วนอาจจะเจอเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่า 'เหนื่อยจะตาย', 'นี่มันอะไรกันเนี่ย' หรือ 'วันนี้ซวยชะมัด' 'ไม่อยากเจอไอ้คนนี้ /เรื่องอย่างนี้เลย(ว่ะ)' ทำไมไอ้เราจะต้องไปเสี่ยง อยู่เฉยดีกว่า

จากความรู้สึกพวกนี้ เราก็เคยคิดดดดดดดดด... อ่ะนะ
แต่จนตอนนี้มันก็ดูกลายเป็นโจทย์ ที่ท้าทายดี เลยอยากเอาที่คิดได้จาก meeting วันนี้มาเขียนไว้

ที่กลุ่มเดิน เดิน ไปวันนี้ ก็สวยงาม น่าสนใจ และเต็มไปด้วยกำลังใจกันเช่นเคย
สำหรับเรา การที่ได้แลกเปลี่ยน แบ่งปัน มุมมองต่างๆ ก็ทำให้เข้าใจอะไรต่างๆกว้างและลึกขึ้น เรื่องการอยู่กับปัจจุบันขณะก็ดูมีรายละเอียดเพิ่มที่น่าสนุก
ได้เจอเรื่องอย่างนี้ มันเป็นกำไรที่ได้จากการเดินทาง เป็นเหตุผลที่ดีว่า ทำไมคนเราถึงน่าจะได้ออกไปเจอคนอื่นๆ สัมผัสสิ่งรอบข้าง หรือพบเหตุการณ์ใหม่ๆ (ทั้งบวกและลบ)บ้าง ถึงแม้ว่าสิ่งที่เจอวันนั้นมันไม่สวยงาม หรืออาจลดทอนกำลังใจของเราในบางครั้ง มันก็ยังเป็นแบบฝึกหัดที่ดีกับชีวิตเรา ให้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ใครเจออะไรหนักๆมา...ไม่ไหวก็พัก ทบทวน แล้วเดินทางภายในใจตัวเองก่อนได้ หรืออีกมุมหนึ่ง พอผ่าน chaos มาแล้ว ก็ level up มี life เพิ่มขึ้น ( ^ ^ ) จะให้สบายๆ ก็ มีสติ ให้พร้อมเจอกับสิ่งที่จะเข้ามาเจอเรา จะดู work กว่า
อย่างที่ดามบอกว่า "ถ้าเราชนะมันมาได้ ก็กำไร ไม่ได้ก็เท่าทุน" นั่นแหละ
แต่อย่าลืมว่า การมีสติ นั้น คือการเฝ้ามองอารมณ์ ความคิด การกระทำ และจิตใจเราเอง (ที่ลอยตามกระแสน้ำมา) ด้วย
ดังนั้น ที่ว่า "บุคคลที่สำคัญที่สุด คือคนที่เรากำลัง connect อยู่"
'บุคคลสำคัญ' นั้น ก็น่าจะรวมถึงตัวเราด้วย
ในปัจจุบันขณะ เรามีภารกิจก็ต้องทำให้ตัวเรามีความสุขด้วยเช่นกัน

ถ้าในขณะหนึ่ง เราฟุ้งไปคิด กังวล เป็นทุกข์ กับคน หรือ เรื่องอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าเราตอนนั้น
ก็ระวังว่า เราก็อาจถีบตัวเอง ตูมมมมมม ตกลงไปจมน้ำอยู่ซักพักทีเดียว กว่าจะตะกายขึ้นมานั่งบนฝั่งได้ใหม่

ไม่ว่าจะเดินทางอยู่จุดไหน กับใคร ก็อย่าลืมรับรู้ตัวตนเราในแต่ละขณะด้วย
May the peace & conciousness be with you.

ป.ล. กำลังสนุก ตื่นเต้นกับการใช้ชีวิต ฮ่าฮ่า..



This entry was posted on 22:58 and is filed under , , . You can follow any responses to this entry through the RSS 2.0 feed. You can leave a response, or trackback from your own site.

0 comment(s):